1. ลูกปัดหินและแร่หิน มักถูกนำมาขัดแต่งเป็นลูกปัด มาจากวัสดุต่างๆ เช่น หินคาร์เน-เลี่ยน(Carnelian) อาเกต(Agate) หินเจสเปอร์ (Jasper) หินออนนิกซ์ (Onyx) หินแคลซีโดนี(Chalcedony) หินเขี้ยวหนุมาน (Quartz)
2. ลูกปัดดินเผา
3. ลูกปัดกระดูกสัตว์ เปลือกหอย
4. ลูกปัดจากโลหะและแร่ต่างๆ เช่น โลหะ ทอง เงิน สำริด เป็นต้น
5. ลูกปัดแก้ว

ลูกปัดหินอาเกตและคาร์เนเลียน
ลูกปัดสำริด

ลูกปัดแก้ว

ลูกปัดแก้วน้ำเคลือบ
บทบาทและหน้าที่ของลูกปัดโบราณ
1.ใช้เป็นเครื่องประดับที่บอกถึงสถานภาพทางสังคมของผู้ใส่
2.ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันคุ้มครองจากภัยอันตรายต่างๆรวมทั้งให้โชคลาภด้วย
3.แสดงถึงความเชื่อ พิธีกรรม วัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น
4.ใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีคุณค่าแทนเงินตราได้
5. ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับชนเผ่าอื่น
6.ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
จากการศึกษาลูกปัดในทางโบราณคดี น่าเชื่อได้ว่า ลูกปัดนอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับแล้ว ยังเป็นเครื่องราง ของขลัง เป็นเครื่องมือสำหรับแลกเปลี่ยน ซื้อ ขาย แทนเงินตรา และอาจมีเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเสน่ห์ของลูกปัดโบราณที่ให้นักโบราณคดีทำการค้นคว้าศึกษาข้อมูลเรื่องราวของลูกปัดโบราณต่อไป

ลูกปัดแก้วมีตา ลูกปัดแก้วโมเสก
คุณค่าและความสำคัญของลูกปัดโบราณ
ลูกปัดเกิดพร้อมพัฒนาการของมนุษย์ในทุกๆมุมโลก ลูกปัดจำนวนมากมายบอกเล่าถึงรสนิยม ความเชื่อ ภูมิปัญญา ศิลปะ กระบวนการผลิต เส้นทางการค้า เศรษฐกิจ อายุหรือสมัยที่ผลิตและอาจสื่อถึงนัยยะการเมืองอีกด้วย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ลูกปัดเป็นมากกว่าเครื่องประดับหรือเครื่องรางของขลังตามความเชื่อของมนุษย์ ความสำคัญของลูกปัดโบราณ รองอธิบดีกรมศิลปากร เขมชาติ เทพไชย กล่าวว่า “การค้นพบลูกปัดโบราณนั้นคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่นี่คือหลักฐานสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้หลายเรื่อง อาทิ เส้นทางการค้าโบราณ ที่ทำให้รู้ว่าในอดีตมีการเชื่อมโยงกัน เพราะลูกปัดมีทุกทวีป ลูกปัด เป็นเครื่องบ่งบอกถึงอารยธรรมโบราณ ลูกปัดเป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่เชื่อมโยงยุคสมัย และช่วยเปิดมุมมองด้าน การสร้างสรรค์ศิลปะที่ส่งผลถึงโลกในยุคปัจจุบันให้นักโบราณคดีได้รับทราบ ลูกปัดโบราณเม็ดหนึ่งมีเรื่องราวมากมายให้ค้นหา ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การผลิต การค้า และวิถีชีวิตของผู้คนยุคโบราณ ดังนั้นเมื่อค้นพบแล้วก็ไม่ควรจะสูญหายไป ลูกปัดโบราณ วัตถุโบราณทุกชิ้น สำหรับนักโบราณคดี ในทางโบราณคดีถือว่ามีคุณค่าทุกชิ้น เพราะเปรียบเสมือนเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เสมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกเรื่องราว เสมือนตำราการเรียนรู้เล่มโตที่ให้เราได้ศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ดังนั้น ทุกชิ้นที่ค้นพบล้วนแล้วแต่มีคุณค่าสูงมาก ๆ จนไม่สามารถประเมินค่าออกมาเป็นตัวเงินไเด้
ลูกปัดโบราณจะไม่ใช่เพียงของเก่าเม็ดเล็กๆ ที่มีคุณค่าในแง่ของความเก่าเท่านั้น แต่มันมีคุณค่ามาก ลูกปัดเม็ดเล็กที่เดินทางผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน มีเรื่องราวมากมายแอบแฝงอยู่ ทำให้เราได้ศึกษาเรียนรู้อดีต ลูกปัดโบราณช่วยในการเชื่อมโยงภาพของการติดต่อสื่อสารกันระหว่างชุมชนในอดีตจากแหล่งที่ขุดค้นพบจากข้อมูลแวดล้อม ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
ความเป็นมาของลูกปัดแก้ว
ลูกปัดเป็นเครื่องประดับที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย การค้นคว้าเรื่องราวของลูกปัดนั้นเชื่อว่ามีมายาวนานนับหมื่นปี ซึ่งลูกปัดในยุคนั้นทำมาจากเมล็ดพืช กระดูกสัตว์ เปลือกหอย และหินที่มีรูอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการมากขึ้น การทำลูกปัดก็ซับซ้อนขึ้น สวยงาม แปลกตาเพิ่มขึ้น เช่นการตกแต่งลวดลายลงไปบนเนื้อหินมีค่า เช่น อาเกตและคาร์เนเลียน ที่ถูกเรียกว่า เอตช์คาร์เนเลียนของอินเดีย และซีบีทของทิเบต เมื่อประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว เชื่อว่ามีการผลิตลูกปัดแก้วเพื่อทดแทนลูกปัดจากหินมีค่า เช่น อาเกตและคาร์เนเลียนที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ซึ่งหินเหล่านี้เริ่มหายากและราคาแพง ทำให้ผู้คนในยุคนโบราณใช้ลูกปัดแก้วที่ถูกผลิตขึ้นมา สวมใส่แทนลูกปัดที่ทำจากหินมีค่า
ก่อนมาเป็นลูกปัดแก้วที่แท้จริงนั้น พบหลักฐานการใช้แก้วหรือการผลิตแก้ว นับว่ามีอายุการค้นพบเท่ากับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งมีประวัติความเป็นมา และการพัฒนาควบคู่กันไป เป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อประมาณ 75,000 ปี มาแล้ว มนุษย์ได้รู้จักนำแก้วธรรมชาติที่เกิดจากภูเขาไฟ ที่เรียกว่า obsidian นำมาทำเป็นหัวธนู หรืออาวุธต่างๆ ต่อมาประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ได้ค้นพบวิธีการผลิตแก้วโดยบังเอิญ ได้มีบันทึกกล่าวไว้ว่าชาวฟีนิเชียนได้ขนดินประสิวมาจากอียิปต์ ขณะเตรียมอาหารอยู่บนชายหาดริมแม่น้ำบีลัส ได้นำก้อนดินประสิวมาใช้แทนก้อนหินเพื่อทำเป็นฐานเตาไฟ เมื่อถูกความร้อน ก้อนดินประสิวเกิดการลุกไหม้และหลอมละลายผสมกับทรายในบริเวณนั้น เกิดของเหลวใสไหลออกมาซึ่งก็คือ แก้ว ส่วนในอียิปต์พบลูกปัดที่มีลักษณะกึ่งเคลือบ-กึ่งแก้วอายุประมาณ 6,000 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งสันนิษฐานว่าพัฒนามาจากการผลิตแกวน้ำเคลือบหรือฟายองซ์(Faience) ซึ่งมีลักษณะเหมือนแก้ว โดยนำมาเคลือบลูกปัดดินเผา แต่ฟายองซ์นั้นผลิตในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าแก้ว และต่อมาจึงได้พัฒนาเป็นแก้วที่แท้จริง
แหล่งผลิตลูกปัดแก้วโบราณที่สำคัญมีอยู่ 3 แหล่ง
อียิปต์ (Egyptian)
ก่อนมีลูกปัดแก้วที่แท้จริงนั้นมีการผลิตลูกปัดจากดินเผาที่มีส่วนผสมของทรายควอทซ์แล้วนำมาเคลือบสีซึ่งดูเหมือนแก้วแต่ไม่ใส ลูกปัดประเภทนี้เรียกว่า ลูกปัดแบบเคลือบน้ำสีหรือแก้วน้ำเคลือบ ซึ่งมีมาก่อนลูกปัดแก้ว ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเริ่มทำกันในเมโสโปเตเมียและอียิปต์เมื่อประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว ในอียิปต์ได้พบวัตถุที่ทำจากแก้วจริงๆ คือ ลูกปัดแก้ว มีอายุ ประมาณ 4,000 กว่าปีมาแล้ว ประมาณราชวงศ์ที่ 7 และ 8 ของอียิปต์โบราณ โดยแก้วที่ทำขึ้นมานั้น นำมาขูด เกลากับหินเพื่อทำเป็นลูกปัด และทำเป็นเครื่องประดับอื่นๆ ที่ช่างโบราณพยายามใช้แก้วผลิตเป็นเครื่องประดับเลียนแบบหินมีค่าซึ่งหายากและมีราคาแพงมากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าลูกปัดสีน้ำเงินและสีฟ้าจะช่วยป้องกันอันตรายต่างๆได้ ต่อมาการทำลูกปัดแก้วได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมไปยังดินแดนอื่นๆ
โรมัน (Roman)
ลูกปัดแก้วในสมัยโรมันมีหลายรูปแบบรวมทั้งลูกปัดมีตา(eye beads) หรือแบบที่สันฐานกลมสีน้ำเงินเข้มแล้วแต้มด้วยรูปวงกลมหลายวงด้วยสีขาว สีฟ้า และน้ำเงินคล้ายรูปตาเป็นชั้นๆ(stratified eye beads)และแบบโมเสก(mosaic) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงประมาณ 2,100-1,900 ปีมาแล้ว ซึ่งลูกปัดแก้วมีตาของโรมันได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมในกลุ่มประเทศอิสลามในเวลาต่อมา กล่าวได้ว่าเมื่อ 2,000 กว่าปีมาแล้วชาวโรมันมีลูกปัดแก้วใช้กันอย่างแพร่หลาย และในสมัยนี้เทคนิคการเป่าแก้วเป็นที่รู้จักกันดีและได้สร้างความทันสมัยให้กับอุตสาหกรรมการผลิตลูกปัดแก้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
กลุ่มประเทศอิสลามในตะวันออกกลาง (Islamic influenced Eastern Midditeranian)
โดยศิลปะอิสลามเริ่มเมื่อประมาณ 1,400 ปีมาแล้ว ชาวมุสลิมโบราณเป็นนักเดินเรือที่ส่งหินอาเกตจากเอเชียตะวันตกไปเมืองซาอุดิอาระเบีย และไคโรกับอเล็กซานเดรีย เรือขนสินค้าของมุสลิมยังขนลูกปัดแก้วไปถึงแอฟริกา นอกจากนี้ยังขนวัตถุดิบที่นำไปทำลูกปัดจากอินเดียไปยังจีน ซึ่งจีนได้นำวัตถุดิบเหล่านี้ไปทำลูกปัดและส่งขายอีกทีหนึ่ง ลูกปัดแก้วมีตาเป็นลูกปัดแก้วที่มีชื่อเสียงของชาวมุสลิม โดยเชื่อว่าการมีหลายดวงตาจะคอยป้องกันภัยอันตรายต่างๆให้ผู้ที่สวมใส่
ลูกปัดโบราณที่ค้นพบในประเทศไทย
ในประเทศไทยมีการค้นพบลูกปัดโบราณหลายแห่ง ทุกภูมิภาคในประเทศไทยโดยแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ได้ดังนี้
ยุคการตั้งถิ่นฐานและทำการเพาะปลูก เมื่อประมาณ 5,500-6,500 กว่าปีมาแล้ว เริ่มมีหลักฐานของการใช้ลูกปัดที่ทำจากกระดูก หอยและหินในรูปแบบธรรมดาและเหมือนกันทั่วไป เช่น ที่ถ้ำทะลุ จังหวัดกาญจนบุรี และถ้ำเบื้องแบบ ถ้ำปากอม จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อมนุษย์มีพัฒนาการทางด้านวัฒนธรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นเมื่อประมาณ 3,000-4,000 ปีมาแล้ว มีหลักฐานของการทำและใช้ลูกปัดควบคู่ไปกับความเชื่อ เห็นได้จากการฝังศพของหญิงและชายรวมทั้งเด็กในสมัยนั้นพร้อมไปกับลูกปัดและเครื่องตกแต่งอื่นๆมีหลักฐานปรากฏหลายแห่งเช่นที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ที่โคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ที่โคกพนมดีนี้พบลูกปัดที่ทำเป็นแผ่นกลมบางๆจากเปลือกหอย หรือกระดูกที่ทำเป็นรูปตัว”H”และ”I” นอกจากนี้มีการขุดพบลูกปัดหอยแบบเดียวกันที่ห้วยใหญ่ในบริเวณเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งแสดงว่ามีการติดต่อกันระหว่างสองชุมชนที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลกับที่อยู่ลึกเข้าไป

ลูกปัดหอยที่ทำเป็นแผ่นกลมบางๆ จากแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี จังหวัดชลบุรี
ยุคโลหะ เมื่อประมาณ 2,000-3,500 ปีมาแล้ว ในยุคนี้ของทุกภาคในประเทศไทยโดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลูกปัดได้พัฒนาไปไกลเห็นได้จากลูกปัดที่ทำจากหินหลายประเภท และตามมาด้วยลูกปัดแก้วที่ถูกส่งเข้ามาจากดินแดนโพ้นทะเลทั้งทางด้านตะวันตกและตะวันออก อาจกล่าวได้ว่าลูกปัดในยุคโลหะในประเทศไทยนี้มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก และถูกส่งมาจากที่ไกล
นอกจากนี้ยังพบลูกปัดที่ยังทำไม่เสร็จดี ไม่ว่าจะเป็นการเจาะรูหรือขัดผิวให้เรียบและเป็นวาว สันนิษฐานว่าอาจมีการทำลูกปัดในประเทศไทย ส่วนแหล่งที่มาของวัตถุดิบ เช่น หินคาร์เนเลียนนั้นอาจมาจากภาคกลาง เช่น ในจังหวัดลพบุรี เป็นต้น

ลูกปัดแก้วสันนิษฐานว่าทำขึ้นเองจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี

แท่งแก้วมีรูอาจยังไม่ได้นำไปตัดทำลูกปัด ไม่ทราบแหล่งที่พบในประเทศไทย
แหล่งโบราณคดียุคโลหะที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักกันดีจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือคือที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ลูกปัดที่พบที่นี่มีทั้งหินคาร์เนเลียนและอาเกต แก้วเป็นแท่งรูปยาวที่เจาะรู ลูกปัดแก้วแผ่นกลมๆเล็กๆสีส้ม และลูกปัดแก้วโดยเฉพาะที่เป็นสีน้ำเงินอมฟ้าและเขียว ซึ่งไม่พบที่อื่นจึงทำให้สันนิษฐานว่าอาจทำขึ้นเองที่บ้านเชียงเมื่อประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว นอกจากนี้ยังพบลูกปัดที่ทำด้วยทองคำที่มีอายุประมาณ 1,700 ปีมาแล้ว เช่นที่โนนอุโลกซึ่งมีอายุระหว่าง 1,700-2,300 ปีมาแล้ว แหล่งชุมชนยุคเหล็กสมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้ตั้งอยู่ในแอ่งโคราช บริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนล่าง นอกจากลูกปัดทองคำแล้วที่โนนอุโลกนี้ยังพบลูกปัดหินคาร์เนเลียนและอาเกต รวมทั้งแบบที่เป็นแผ่นที่ใช้เป็นจี้ห้อยคอ และลูกปัดประเภทอื่นๆที่ทำด้วยแก้ว ฟันเสือและหอยซึ่งพบในหลุมฝังศพ
ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 1,500 – 2,000 ปีมาแล้ว มีหลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี พบลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยนอาเกตหลายรูปแบบ รวมทั้งที่เป็นรูปสิงโตซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากอินเดีย ส่วนที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พบลูกปัดหลายรูปแบบ เช่น รูปมะกอก รูปคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน รูปกลม รูปกรวยฐานซ้อน รูปพระจันทร์เสี้ยว รูปทรงกลมมีตาเป็นดวงๆและรูปทรงกระบอกที่มีลวดลายสีต่างๆเป็นลายสลับสี
ในระหว่าง 1,500 -1,900 ปีมาแล้วมีเมืองท่าโบราณที่เขาสามแก้ว จังหวัดชุมพร ที่มีหลักฐานของการค้ากับดินแดนโพ้นทะเล ทั้งทางตะวันตกและตะวันออก มีการพบลูกปัดหินอาเกต ควอทซ์ คาร์นีเลียน เอทช์-คาร์นีเลียน บ้างก็มีการจารึกลงไปบนลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยน รูปแท่งปริซึมสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด 0.9X045 ซม. ภาษาสันสกฤต ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณได้อ่านว่า “อขิทโร”แปลว่า”แข็งแรง ไม่อ่อนแอ” นอกจากนี้ยังพบลูกปัดทองคำ หินที่ยังไม่ได้ทำลูกปัด และลูกปัดหินที่ยังไม่ได้เจาะรู ซึ่งบอกถึงการค้าวัตถุดิบซึ่งจะเอามาทำลูกปัด
แหล่งที่สำคัญอีกแหล่งในภาคใต้คือที่ควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จ.กระบี่ ที่พบลูกปัดประเภทเดียวกับที่เขาสามแก้ว และนอกเหนือไปจากนั้นยังพบตราอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤตจากอินเดียใต้ ลูกปัดแก้วที่เขียนเส้นสีรูปหน้าคน และแผ่นหินคาร์เนเลียนที่มีรูปสลักผู้หญิงศิลปะแบบโรมัน ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกส่งเข้ามาจากแถบเมดิเตอร์เรเนียนกับพ่อค้าในสมัยนั้น นอกจากนี้ก็พบลูกปัดแก้วและหินที่มีขั้วสีต่างๆซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่เคยขุดพบในแหล่งโบราณคดีวิรัมปัตตะนัม ฝั่งตะวันออกใกล้เมืองปอนดิเชรีของอินเดีย
เมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีมาแล้วมีเมืองท่าเกิดขึ้นในภาคใต้หลายแห่ง นอกจากที่คลองท่อมแล้วก็ยังมีทางฝั่งตะวันตกของทะเลอันดามันที่เกาะคอเขา จังหวัดพังงา และทางฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยที่อำเภอท่าชนะ และแหลมโพธิ์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีและที่สทิงพระ จังหวัดสงขลา ที่พบลูกปัดหิน เช่น แอมะธีสต์ ลูกปัดแก้วเป็นตา ลูกปัดแก้วรูปฟักทอง ลูกปัดแก้วหลายสีผสมกัน และลูกปัดแก้วที่มีขั้วซึ่งเหมือนกับที่พบที่ออกแก้วใกล้ปากแม่น้ำโขงทางใต้ของเวียดนาม นอกจากนี้ก็มีลูกปัดแก้วแบบเกลียวซึ่งสันนิษฐานว่าจะมาจากจีน
ยุคประวัติศาสตร์ เมื่อประมาณ 1,500 ปีมาแล้วดินแดนในประเทศไทยนับตั้งแต่ จังหวัดสุโขทัย หรือภาคเหนือตอนล่างลงมาถึงภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีหลักฐานของศิลปวัฒนธรรมที่เรียกว่า “ทวารวดี” ซึ่งมีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11- 16 เช่น ประติมากรรม พระพุทธรูป เครื่องปั้นดินเผาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังพบลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยน อะเกต ควอทซ์ ทองคำ และลูกปัดแก้ว โดยเฉพาะที่มีขนาดเล็กๆหลายๆสีแบบที่เรียกกันว่า “ลูกปัดทวารวดี” หรือลูกปัดลมสินค้า
หลังสมัยศิลปวัฒนธรรมทวารวดีลูกปัดทั้งหินและแก้วแบบที่พบในสมัยทวารวดีและก่อนๆได้ค่อยๆหายไป การค้าลูกปัดระหว่างชุมชนในดินแดนประเทศไทยโบราณกับทางตะวันตกและอินเดียได้ค่อยๆลดลง ซึ่งสาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัย แต่การติดต่อค้าขายกับจีนยังดำเนินต่อไป มีสินค้าจีนเข้ามายังดินแดนประเทศไทยมากมาย เช่น เครื่องปั้นดินเผา ที่อำเภออมก๋อย จ.เชียงใหม่ พบเครื่องถ้วยชามของจีนและของไทย รวมทั้งลูกปัดแก้วซึ่งต่างกับของที่พบในสมัยศิลปวัฒนธรรมทวารวดีที่ฝังลงไปพร้อมกับศพ ลูกปัดเหล่านี้ยังไม่ทราบที่มาอย่างชัดเจน แต่สันนิษฐานว่าอาจมาจากประเทศจีน
ควนลูกปัด: แหล่งผลิตลูกปัดโบราณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
แหล่งโบราณคดีที่น่าสนใจที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมในการทำลูกปัดโบราณที่ใหญ่ที่สุด และพบลูกปัดโบราณเป็นจำนวนมากเท่าที่เคยพบมาในประเทศไทยคือ ควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ลูกปัดที่พบ ณ แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ มักพบอยู่ทั่วไปบนผิวดิน โดยเฉพาะเวลาฝนตกฉะหน้าดินออกจะพบลูกปัดชนิดต่างๆปรากฏอยู่ทั่วไปเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันลูกปัดโบราณได้รับความนิยมอย่างสูงในการนำมาทำเครื่องประดับ มีการลักลอบขุดและซื้อขายลูกปัดโบราณ จำนวนลูกปัดจึงเหลือเพียงเล็กน้อย
ลูกปัดที่พบที่ควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม มีหลายรูปแบบและทำจากวัสดุต่างๆกัน เช่น ทองคำ ดีบุก ดินผา แก้วรูปทรงต่างๆ รวมทั้งลูกปัดที่ทำเป็นรูปหน้าคนซึ่งไม่เคยพบที่แห่งใดในประเทศไทยนอกจากที่คลองท่อม โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้
1.ลูกปัดพื้นเมืองหรือผลิตขึ้นเอง เนื่องจากได้พบหลักฐานหลายอย่างที่ทำให้เชื่อได้ว่าลูกปัดบางชนิดผลิตขึ้นที่ควนลูกปัดเอง แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำนั้นอาจได้มาจากต่างประเทศหรือภายในประเทศเอง เนื่องจากได้พบเศษหินแร่ที่สวยงามชนิดเดียวกับที่ใช้ทำลูกปัดที่ยังคงทิ้งรอยชัดเจนว่าถูกสกัดออกไปทำลูกปัด รวมทั้งเศษก้อนแก้วซึ่งเป็นแก้วชนิดเดียวกับที่ใช้ทำลูกปัดแก้ว เป็นจำนวนมากปะปนอยู่กับลูกปัดที่ทำสำเร็จแล้ว นอกจากนี้ยังได้พบลูกปัดที่ทำสำเร็จแล้ว ลูกปัดที่ยังทำไม่เสร็จเรียบร้อยเป็นจำนวนมาก คือทำเป็นรูปร่างมีการเจาะรูเพียงครึ่งเม็ด และยังได้พบลูกปัดแก้วที่ทำติดต่อกันเป็นแถวยาวๆยังไม่มีการเจาะรู รวมทั้งลูกปัดที่ทำแล้วใช้งานไม่ได้ถูกนำกลับไปหลอมรวมกันใหม่ ถ้าหากเป็นของที่ทำมาจากแหล่งอื่นนั้น ก็น่าจะทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
2.ลูกปัดที่มาจากต่างประเทศ ลูกปัดเหล่านี้คงถูกนำมาจากภายนอก โดยการค้าขายแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าต่างชาติเริ่มตั้งแต่พ่อค้าแถบเอเชียกลาง พ่อค้าชาวอินเดียและพ่อค้าชาวจีน ทำให้ลูกปัดจากต่างประเทศเหล่านี้เข้ามาในดินแดนภาคใต้ของไทย ลูกปัดจากต่างประเทศเหล่านี้สามารถนำไปปรึกษาเปรียบเทียบกับลูกปัดที่พบที่แหล่งโบราณคดีอื่นๆ เช่นที่ เกาะคอเขา จ.พังงา เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรีและเมืองออกแก้ว ประเทศเวียดนาม สันนิษฐานว่าคงจะเป็นลูกปัดที่นำมาจากประเทศกลุ่มอาหรับและประเทศอินเดีย
จำนวนของลูกปัดมากมายและรูปแบบต่างๆของลูกปัดที่พบที่แหล่งโบราณคดีควนลูกปัด อ.คลองถ่อม จ.กระบี่ เป็นหลักฐานสำคัญยิ่งทำให้ทราบว่าควนลูกปัดแห่งนี้ เมื่อประมาณราวๆ พุทธศตวรรษที่ 10-12 (กำหนดอายุโดยการศึกษาเปรียบเทียบกับแหล่งโบราณคดีอื่นๆที่พบหลักฐานทางโบราณคดีเหมือนกัน เช่น ที่อู่ทองสุพรรณบุรี และที่เมืองออกแก้วในประเทศเวียดนาม) เป็นแหล่งอุตสาหกกรมในการทำลูกปัดโบราณที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบในประเทศไทย และลูกปัดเหล่านี้คงถูกส่งไปเป็นสินค้าให้แก่ชุมชนอื่นๆในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และในระยะเวลาเดียวกันนั้น ชุมชนโบราณแห่งนี้คงจะมีความสัมพันธ์ติดต่อกับประเทศอินเดียกลุ่มประเทศอาหรับ ชุมชนโบราณสมัยแรกประวัติศาสตร์ ในประเทศไทยไปจนถึงเมืองออกแก้วในประเทศเวียดนาม ในฐานะที่เป็นเมืองท่าชายฝั่งหรือที่พักสินค้าที่สำคัญแห่งหึ่งบนฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างอินเดียภาคใต้ ภาคเหนือกับดินแดนแถบเอเชียอาคเนย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : พิพิธภัณฑ์ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ คณะสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตำนานและความเชื่อเรื่อง "ลูกปัดโบราณ"

ลูกปัด คือวัตถุที่มีลักษณะเป็นเม็ด มีรูอยู่ตรงกลาง เพื่อใช้ร้อยด้ายหรือเชือก ลูกปัดถูกใช้เป็นหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เนื่องจากมักมีการขุดพบลูกปัดมากมายในแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ทั้งหลาย ลูกปัดโบราณที่ขุดพบนั้นทำมาจากวัสดุต่างๆ อาทิ
1. ลูกปัดหิน และแร่หิน มักถูกนำมาขัดแต่งเป็นลูกปัด มาจากวัสดุต่างๆ เช่น หินคาร์เนเลี่ยน (Carnelian), หินโมรา (Agate), หินเจสเปอร์ (Jesper), หินออนนิกซ์ (Onyx), หินคาลซิโลนี (Chalcedony), หินเขี้ยวหนุมาน (Guartz)
2. ลูกปัดดินเผา
3. ลูกปัดกระดูกสัตว์ เปลือกหอย
4. ลูกปัดโลหะ สำริด ทอง
5. ลูกปัดแก้ว ที่ผลิตขึ้นจากแร่ธาตุต่างๆ
จากการศึกษาลูกปัดในทางโบราณคดี น่าเชื่อได้ว่า ลูกปัดนอกจากจะใช้เป็นเครื่องประดับแล้ว ยังถือว่าเป็นเครื่องรางของขลัง, เป็นเครื่องมือสำหรับแลกเปลี่ยน ซื้อ ขาย แทนเงินตรา และอาจมีเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย
ลูกปัดเป็นเครื่องประดับที่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกมาแทบทุกยุคทุกสมัย การค้นคว้าเรื่องราวของลูกปัดนั้น เชื่อว่ามีมายาวนานนับหมื่นปี ซึ่งลูกปัดในยุคนั้นทำมาจากเมล็ดพืช กระดูกสัตว์ เขี้ยวสัตว์ เปลือกหอย และหินที่มีรูอยู่แล้วตามธรรมชาติ เมื่อมนุษย์มีวิวัฒนาการมากขึ้น การทำลูกปัดก็ซับซ้อนขึ้น สวยงาม แปลกตาเพิ่มขึ้น เช่นการตกแต่งลวดลายลงไปบนเนื้อหินมีค่า เช่น อาเกต และคาร์เนเลียน เรียกว่า เอตช์คาร์เนเลียน (etched carnelian) ของอินเดีย และซีบีท (dZi beads) ของทิเบต
เมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว เชื่อว่ามีการผลิตลูกปัดจากแก้ว เพื่อทดแทนลูกปัดจากหินมีค่า เช่น อาเกตและคาร์เนเลียนที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในยุคนั้น ซึ่งเริ่มหายากและราคาแพง ทำให้ผู้คนในยุคนั้นสามารถหาลูกปัดแก้วที่ถูกผลิตขึ้นมาสวมใส่มาทดแทนได้ไม่ยากนัก แหล่งที่มีการผลิตลูกปัดแก้วโบราณที่สำคัญมีอยู่ 3 แหล่ง คือ
1. อียิปต์ (Egyptian)
2. โรมัน (Roman)
3. กลุ่มประเทศอิสลาม ทางตะวันออกกลาง (Islamic influenced Eastern Midditeranian)

ความเป็นมาของลูกปัดแก้ว
แก้วเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่มนุษย์รู้จักมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 14,000 ปีมาแล้ว เป็นแก้วที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดจากฟ้าฝ่าลงมาบนพื้นทราย เกิดเป็นแท่งแก้วยาวคล้ายรากไม้ หรือแก้วที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ เรียกว่า หินออบซิเดียน (Obsidian) ซึ่งคนสมัยโบราณจะนำมาทำอาวุธ เช่น มีด ขวาน และหัวธนู นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ชาวโพนีเซียนน่าจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่คิดค้นวิธีการทำแก้วได้ จากนั้นชาวอียิปต์และกลุ่มประเทศใกล้เคียงจึงใช้แก้วที่ทำขี้นมานั้น มาขูด หรือเกลากับหินเพื่อทำเป็นลูกปัด ต่อมาก็วิวัฒนาการเครื่องมือเพื่อใช้เป็นแม่พิมพ์
ลูกปัดทวารวดี
ลูกปัดทวารวดี เป็นลูกปัดที่แสดงความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นลูกปัดที่ผลิตจากดินเหนียว ในหนังสือ "The History of Beads" ของ Lois Sherr Dubin ได้กล่าวถึงไว้ว่า ลูกปัดแก้วในยุคบ้านเชียง จะมีการผลิตควบคูไปกับการผลิตภาชนะพวกหม้อ ไห และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำจากเหล็ก (iron) ประมาณเมื่อ 2,300 ปีมาแล้ว ลูกปัดในยุคแรกส่วนใหญ่จะมีสีส้มแดง (สีมันปู) และบางส่วนมีสีน้ำเงิน เหลือง
แต่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนที่สนใจลูกปัดโบราณว่า สีของลูกปัดทวารวดีนั้น มีทั้งหมด 19 สี แต่ละสีมีคุณสมบัติ แตกต่างกันไปตามความเชื่อว่า หากผู้ใดได้ครอบครองลูกปัดทวารวดีทั้ง 19 สี จะทำให้ผู้นั้นไม่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ลำบาก และแคล้วคลาดจากอันตราย ปกป้องให้พ้นจากเดรัจฉานวิชา ตลอดจนเขี้ยวงาอาวุธ ส่งเสริมบารมี เงินทองไหลมาเทมา โดยจะใช้เป็นเครื่องประดับสวมคอ และข้อมือ คุณสมบัติของสีอาจแตกต่างกันไปบ้าง แล้วแต่ท้องถิ่น คุณสมบัติของลูกปัดทวารวดี ทั้ง 19 สี มีดังนี้
1. ทวารวดีแท้ ถือว่าดีที่สุด หายากที่สุด สีออกน้ำตาล เนื้อละเอียด คุณสมบัติใช้ป้องกันอาวุธต่างๆ อาทิ ดาป แหลน หลาว ธนู หน้าไม้
2. ทวาลูกยอ มีลวดลายคล้ายลูกยอ มีคุณสมบัติ ใช้ต้มกับลูกยอ เป็นยารักษาโรคได้
3. ทวาหัวดำ ท้ายดำ ตรงกลางขาว ใช้ป้องกันเช่นเดียวกับ ทวารวดีแท้
4. ทวาหัวเทียน หัวดำ จะทำให้เกิดไหวพริบ ปฏิภาน เฉลียวฉลาด หลักแหลม
5. ทวาอำพันทอง อยู่ยงคงกระพัน กันโรคนิ่ว หมากัดไม่เข้า เงินทองไหลมาเทมา ป้องกันสามีมีชู้
6. น้ำเงินเนื้อกษัตริย์ มีอำนาจวาสนา ส่งเสริมวาสนาให้สูงส่ง นำโชค
7. หยก ป้องกันอุบัติเหตุ กันผี เป็นมหามงคลอันอุดม
8. เหลือง มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม คนรักใคร่ ไม่เกลียดชัง

9. เหลืองสวาท หรือเหลืองตองอ่อน เสน่ห์แรง คนรักใคร่ลุ่มหลง
10. แสลน ป้องกันอุบัติเหตุ ป้องกันสามีมีชู้
11. หยกขาว ให้อายุมั่นขวัญยืน ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้
12. ฟ้า มีโชคลาภ ร่ำรวย
13. ดำ กันผีสาง กันขโมย นำโชคมาสู่
14. เขียวหนุมาน (แก้วสารพัดนึก) นึกอะไรได้ทั้งนั้น
15. ส้มมันปู อยู่ยงคงกระพัน ร่ำรวย ไม่อดอยาก ดูดพิษสัตว์ได้
16. น้ำผึ้ง มีวาสนา มีความสุข มีชีวิตสดชื่นอยู่เสมอ
17. สีอิฐ ป้องกันเขี้ยวงา อสรพิษกัดต่อย
18. สีแดงเข้ม มีอำนาจดุจพญาราชสีห์ คนไม่กล้าทำร้าย
19. สีม่วง คนเมตตาสงสาร นำทรัพย์สินมาให้ อุปถัมภ์ และคอยให้ความช่วยเหลือ
----------------
มีคำแนะนำอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการบูชา หากผู้ใดทำบุญอธิษฐานเป็นเนืองนิตย์ ผู้นั้นจะไม่ยกจนเข็ญใจ ไม่ไร้ทรัพย์อับปัญญา ไม่ว่าจะมีลูกปัดทวารวดีสีใดก็ตามให้เคารพสักการะด้วย ธูป เทียน ดอกไม้ และใส่บาตร กรวดน้ำให้ดวงวิญญาณของผู้ที่เป็นเจ้าของ การบูชา ให้บูชาดังนี้
1. ธูป 5 ดอก
2. พวงมาลัยมะลิสด
3. น้ำสะอาด 1 แก้ว
ทำก่อนนอนทุกคืน แล้วอธิษฐานเอาตามความปรารถนาจะเป็นผล การทำบุญตักบาตรทุกวันก็จะช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น อย่าลืมกรวดน้ำนึกถึงดวงวิญญาณของเจ้าของลูกปัดด้วยความสำคัญของหินลูกปัดกับพราหมณ์
เสน่ห์และมนต์ขลังของลูกปัดศรีวิชัย
ลูกปัด ในความหมายทางโบราณคดี หมายถึง วัตถุต่างๆที่เจาะรู สามารถนำมาร้อยได้ เช่น ลูกปัดหิน ลูกปัดดิน ลูกปัดแก้ว ลูกปัดที่ทำมาจากกระดูก เปลือกหอย หรือ ลูกปัดที่ทำมาจากโลหะอื่นๆเช่น ทอง ดีบุก สัมฤทธิ์ เป็นต้น
ในสมัยโบราณการใช้สอยลูกปัด พอจะแยกได้ดังนี้ …
1. ใช้เป็นเครื่องประดับ โดยร้อยเชือกหรือว้สดุอื่นๆ ร้อบเป็นพวงติดกันผูกไว้ที่ข้อมือ เป็นสายพันรอบเอว และร้อยคล้องคอ เจาะติดจมูก ใส่เป็นต่างหู พันไว้รอบศีรษะ ร้อยไว้รอบผม แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น และบางครั้งใช้เป็นเครื่องบอกฐานะทางสังคมของคนโบราณ
2. ใช้เป็นเครื่องรางของขลัง บางครั้งใช้ประกอบพิธีกรรมเพราะในความหมายของคำว่า ลูกปัดในภาษาไทยอาจหมายถึง ปัดรังควาน หรือ ปัดเสนียด จัญไร หรือสิ่งชั่วร้าย เมื่อเทียบกับความหมายในภาษาอังกฤษ คำว่า BEAD มาจากคำว่า BEDE ในสมัยกลางแปลว่า การสวดมนต์ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับพิธีกรรมทางพราหมณ์และพุทธสายมหายาน เช่นเดียวกับในธิเบต
3. ใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาโรคบางอย่างได้ ในทวีปยุโรป เชื่อกันว่าลูดปัดช่วยถนอม สายตา ลูกปัดอำพันใช้แก้โรคปวดท้องได้
4.ใช้แทนเงินตรา ในการแลกเปลี่ยนทางการค้าเพราะลูกปัดมีขนาดที่เหมาะสม ง่ายต่อ การนำติดตังไปยังที่ต่างๆ เพื่อการแลกเปลี่ยนสินค้าในทวีปเอเซีย ยุโรป และแอฟริกา พบลูกปัดจำนวนมากอยู่ร่วมกับสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะในยุคที่มนุษย์เริ่มมีความสัมพันธ์ทางการค้า
วัตถุดิบที่ใช้ทำลูกปัดโบราณ จากหลักฐานที่มีข้อมูลพอจะแยกได้ดังนี้
1. กระดูก เปลือกหอย ซึ่งรวมทั้ง เขา งา ปะการัง เขี้ยว และฟัน เปลือกหอย จัดได้ว่าจัดได้ว่าเป็นวัตถุดิบที่เก่าแก่ ซึ่งคนภาคใต้ในสมัยโบราณรู้จักนำมาทำเป็นเครื่องประดับและลูกปัด โดยนำเปลือกหอยมาขัดฝน เจาะรู เพื่อใช้ร้อยประดับ พบในแหล่งโบราณคดีเช่น ถ้ำเขาหินตก ถ้ำสุวรรณคูหา ถ้ำปากอม และถ้ำเบื้องแบบส่วนกระดูก ฟัน เขี้ยว และเขาสัตว์ มีการพบร่องรอยการขัดฝนทำเป็นเครื่องประดับในรูปของจี้ ห้อยแขวน หรือลูกปัดทรงกระบอก ที่พบหลักฐานในแหล่งโบราณคดีชุมชนโบราณพุนพิน (เขาศรีวิชัย) เครื่องประดับที่ทำด้วยงาช้างพบที่ชุมชนโบราณคลองท่อม ปะการังพบที่ชุมชนโบราณสทิงพระ โดยนำมาตัดเป็นแท่งๆ แต่ยังไม่พบหลักฐานการนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ
2. หิน-แร่ประกอบหิน ตามหลักฐานจากแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในภาคใต้ พบว่ามีการใช้หินเป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องประดับ มี 2 รูปแบบคือ นำมาขัดฝนเป็นกำไล และเม็ดลูกปัด หินที่ใช้ทำมักจะเป็นหินสีเทาดำที่ง่ายต่อการขัดฝน เช่น หินแอนดิไซด์ หินชนวน หินดินดาน และ แร่ประกอบหินตระกูลควอตซ์ สีขาวขุ่น รวมทั้งอำพัน และชาร์ต เมื่อมาถึงสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ มีแร่ประกอบหินที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบอีกหลายชนิด เช่น พลอย ทับทิม อำพัน แก้วตาแมว ที่มีในชุมชน ส่วนหินคาร์เนเลี่ยนและควอตซ์แก้วผลึก เป็นวัตถุดิบที่นำมาจากดินแดนอื่นเช่นอินเดีย ยังมีหิน-แร่ประกอบหินเช่นพวกพลอยม่วงหรืออะเมทิสต์ ควอตซ์ที่มีลายในเนื้อ เช่น อะเกตหรือโอนิกซ์แร่ประกอบหินสีเขียว เช่น เพรส เนไฟรต์ เซอร์เพนทีน ควอตซ์สีน้ำผึ้ง เช่น ซิทรีน ควอตซ์เนื้อละเอียด แจสเพอร์เนื้อสีแดง โอปอเนื้อวาวแบบเทียนไข หรือยางสน และออบซิเดี่ยน คล้ายแก้วสีดำ วัตถุดิบที่เป็นหิน-แร่ประกอบหิน ใช้ทำเครื่องประดับในสมัยแรกเริ่มในรูปแบบต่างๆ เช่น กำไล หัวแหวน ตุ้มหู แหวน หรือ จี้สำหรับห้อยคอ แต่ที่พบมากที่สุด คือ ลูกปัด
3. ดินเผา – แก้วหลอม ดินเผาที่ใช้ทำเครื่องประดับของคนโบราณในภาคใต้ พบหลักฐานน้อยมาก ส่วนใหญ่ จะพบเป๋นวุตถุขนาดเล็กๆ เช่น ลูกกระสุน แว และ ตุ้มถ่วงแห เป็นส่วนมาก มักจะเป็นดินเนื้อละเอียดและเผาแกร่ง ส่วนลูกปัดแก้วหลอม ทำเป็นเครื่องประดับในรูปแบบ กำไล ตุ้มหู แหวน หัวแหวน จี้ และลูกปัด สามารถทำลูกปัดให้มีสีและลวดลายต่างๆคล้ายเนื้อหิน และลวดลายใหม่ๆขึ้นอีกด้วย
4. โลหะหลอม เครื่องประดับที่ทำจากโลหะหลอมทำมาจาก ทอง ทองแดง เงิน ตะกั่ว ดีบุก เหล็กรวมถึงโลหะผสมอีกชนิดหนึ่งคือ สำริด ลูกปัดที่ทำจากทอง พบในหลายแหล่งโบราณในภาคใต้ เช่น แหล่งชุมชนโบราณคลองท่อม,แหล่งชุมชนโบราณท่าชนะ,แหล่งชุมชนโบราณสามแก้ว,แหล่งชุมชนตะกั่วป่า แหล่งชุมชนโบราณไชยาฯลฯ เครื่องประดับทำด้วยทองที่พบอยู่ในรูปแบบของแหวน จี้ ตุ้มหู และ เม็ดลูกปัด ส่วนเงินพบน้อยมาก ตะกั่วและสำริด เป็นโลหะที่นิยมมาทำเป็นเครื่องประดับในรูปแบบของตุ้มหู แหวน ลูกปัด และ ลูกกระพรวน นอกจากนี้ยังพบแม่พิมพ์หินทราย สำหรับหล่อตุ้มหูสำริดด้วย ส่วนเหล็กที่ทำเป็นเครื่องประดับพบจากแหล่งชุมชนโบราณท่าเรือเรียกว่า ลูกปัดฮีมาไทต์รูปทรงกระบอก
เทคนิคและวิธีการทำลูกปัดแก้วในสมัยโบราณ พอจะแยกได้ดังนี้
1.วิธีพัน การทำลูกปัดวิธีพัน ทำโดยการนำแท่งแก้วมาลนไฟที่ส่วนปลายจนเหลวตัวแล้วนำไปพันรอบแกนเส้นโลหะเหล็กหรือทองแดง เมื่อพันรอบแล้วก็ตัดส่วนที่เกินออกแล้วนำแกนเส้นลวดที่พันแก้วทับอยู่ไปลนไฟอีกทีโดยหมุนไปรอบๆจนกว่าผิวแก้วที่เป็นรอบต่อนั้นจะเสมอกัน ซึ่งในเส้นลวดเส้นหนึ่งอาจจะนำแก้วเหลวมาพันรอบๆหลายๆลูกก็ได้ หลังจากนำไปลนไฟจนได้ที่แล้วก็นำมาปล่อยวาให้เย็น แกนเส้นลวดก็จะหดตัวมากกว่าตัวแก้ว ซึ่งจะทำให้ลูกปัดที่ติดอยู่ออกง่าย และลูกปัดก็จะมีความกว้างเท่ากับแกนเส้นลวดนั้นๆ
2. วิธียืด การทำลูกปัดแก้วแบบยืด ทำโดยการนำก้อนแก้วที่เข้าเผาจนร้อนแดงออกมาโดยใช้แท่งเหล็กจิ้มออกมา จากนั้นนำแท่งเหล็กอีกแท่งหนึ่งมาจิ้มที่ก้นแก้วจนร้อนนั้นแล้วจึงตัดก้อนแก้วนั้นให้เป็นรูปกรวยหรือพันให้เป็นรูปกลม โดยให้มีช่องที่ติดฟองอากาศขนาดใหญ่อยู่ภายใน ยืดก้อนแก้วออกเป็นหลอดยาว แล้วตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆตามต้องการโดยไม่ต้องเจาะรู เพราะช่องฟองอากาศก็เป็นรูลูกปัดอยู่แล้ว และปล่อยให้เย็น ลูกปัดก็จะแข็งตัวขึ้น ที่ขอบรอบรูลูกปัดยังมีความคมอยู่ก็ปัดให้ลบคม การขัดขอบรอบรูลูกปัดด้วยวิธีง่ายๆและรวดเร็วคือ การนำลูกปัดจำนวนมากใส่ลงในถังกลมที่ผสมทรายหยาบ แล้วหมุนถังไปรอบๆเพื่อให้ตัวเม็ดทรายทำหน้าที่ขัดผิวแก้ว ที่คมของลูกปัดให้เสมอกัน แต่ถ้าหมุนถังนานๆก็อาจจะทำให้รูปร่างของลูกปัดเปลี่ยนแปลงไปได้ กรรมวิธีทำลูกปัดแบบยืดนี้อาจเพิ่มเติมสีสันลวดลายได้คือ นำเส้นแก้วที่ยังอ่อนตัวจากความร้อนมาวาทาบบนก้อนแก้ว โดยวางสลับสีกันแล้วยืดออก ก็จะได้หลอดแก้วที่มีลายเป็นเส้นยาวตามสีที่วางไว้ ลูกปัดที่สลับสีแบบนี้เรียกว่า Striped Bead แต่ถ้าหากนำมาพันทับกันเป็นชั้นๆ เช่น ทาบกัน
5 ชั้นหรือ 6 ชั้น ชั้นละสี เมื่อยืดออกแล้วนำไปตัดก็จะได้ ลูกปัดที่มีสีสลับกันเรียกว่า โรเซทท์ (Rosette)
3. วิธีพับ การทำลูกปัดแก้วแบบนี้ ทำโดยการนำแท่งแก้วที่ยาวและแบนมาลนไฟให้อ่อนตัว แล้วนำมาพันรอบแกนเส้นลวดเหมือนกันกับแบบพัน โดยจะเห็นรอยต่อตรงที่พับชนกันจะเป็นเส้นขนานกับรูลูกปัด ลูกปัดแบบพับนี้จะพบที่ประเทศอียิปต์และประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นลูกปัดเมื่อราว 2,000ปีมาแล้ว
4. วิธีกด การทำลูกปัดแก้วแบบนี้ ทำได้ในขณะที่แก้วยังอ่อนตัว ซึ่งสามารถทำลูกปัดรูปร่างต่างๆได้ทั้ง สี่เหลี่ยม กลม กลมแบน แบนขอบหยัก หกเหลี่ยม หรือ แปดเหลี่ยมเป็นต้น
5. วิธีขดให้เป็นเกลียว วิธีนี้พบครั้งแรกเนแบบของอียิปต์โบราณและของโรมัน โดยนำแท่งแก้วที่กำลังอ่อนตัวมาพันรอบๆแกนเส้นลวด โดยขอให้เป็นเกลี่ยวแล้วตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆ
6. วิธีหยอดและใช้มือเจาะรู การทำวิธีนี้ ทำโดยหยอดแก้วหลอมจากแท่งแก้วลงบนจานดินเผาเป็นเม็ดๆ แล้วใช้ตะปู ลวด หรือของแหลม เจาะรูลงไปในขณะที่หยอดแก้วยังอ่อนตัวอยู่ ซึ่งจะพบมากในอินเดีย
7. วิธีอบ วิธีนี้ทำโดยเอาแก้วสีมาบดให้เป็นผง อาจจะใช้ขวดแก้วสีต่างๆที่แตกแล้วมาบดก็ได้ วิธีทำคล้ายการทำลูกปัด Faience ของอียิปต์โบราณ โดยการนำเอาแท่งไม้ที่มีความกว้างของเส้นผ่าศูนย์กลางราว
1 กระเบียด เจาะรูเข้าไปในก้อนดินเหนียวประมาณครึ่งนิ้วแล้วนำกิ่งไม้ขนาดเท่าก้านไม้ขีดกดลงไปตรงกลางของรูที่เจาะครั้งแรก แล้วเทผงแก้วสีต่างๆลงไปในรู สลับสีตามความต้องการ จากนั้นนำเอาก้อนดินเหนียวไปอบในกลางแจ้ง จะทำให้ผงแก้วละลาย และปล่อยทิ้งไว้ให้แก้วเย็นและแข็งตัว ก้านไม้ตรงกลางจะหลุดออกเป็นรูลูกปัด
ลูกปัดโบราณที่พบในภาคใต้นั้น เป็นลูกปัดที่มีมาตั้งแต่อดีตกาลก่อนยุคทวารวดี ยุคศรีวิชัย มีหลายท่านเคยถามว่า ลูกปัดเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ? เกิดขึ้นที่ใด ? คำตอบที่แน่นอนนั้นก็ยังตอบไม่ได้ตายตัวนัก เพราะว่าหลักฐานยังน้อยมาก แต่ก็พอจะสันนิฐานได้ว้า ลูกปัดเกิดขึ้นมานานราวๆ 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งในยุคแรกๆนั้น ลูกปัดจะทำมาจาก กระดูก ฟัน เขี้ยวและพวกเปลือกหอย ซึ่งลูกปัดเหล่านี้พอจะพบหลักฐานได้บ้างจากถ้ำกระเบื้อง อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ในเวลาต่อมาก็เริมการทำลูกปัดจากหิน และพัฒนามาเป็นแก้ว
แหล่งโบราณคดีทุ่งตึก มีความสำคัญต่อการอธิบายภาพรวมของชุมชนโบราณแถบภาคใต้ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และหลักฐานทางโบราณคดีที่พบชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทุ่งตึกเป็นเมืองท่าการค้าที่อยู่ในเส้นทางขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรไปมาระหว่างฝั่งทะเลอันดามันกับฝั่งทะเลอ่าวไทย นักวิชาการส่วนใหญย่เรียกเส้นทางการค้านี้ว่า “เส้นทางข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน” ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในสมัยศรีวิชัยลูกปัดเป็นเครื่องประดับที่พบแพร่หลายทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย เราจึงพบลูกปัดรูปแบบต่างๆ ตามแหล่งโบราณคดีทั่วไปแสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น ใช้ลูกปัดเป็นเครื่องประดับหรืออาจจะใช้เป็นเครื่องราง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่และอาจจะใช้ลูกปัดเป็นของมีค่าที่สามารถแลกเปลี่ยนแทนเงินตราในการค้าขาย ลูกปัดในสมัยโบราณเป็นเครื่องแสดงความเจริญของคนแต่ละยุคสมัยในการประดิษฐ์คิดค้น และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันทางอารยธรรมระหว่างชุมชนได้อีกด้วย ดังนั้นการพบลูกปัดจำนวนมากมายและหลากหลายรูปแบบที่แหล่งโบราณคดีทุ่งตึก จึงเป็นหลักฐานสำคัญอย่างยิ่งทำให้เราทราบว่า ทุ่งตึกมีความสัมพันธ์ติดต่อกับประเทศอินเดีย กลุ่มประเทศอาหรับในฐานะที่เป็นเมืองท่าชายฝั่งหรือที่พักสินค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมาลายู ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างอินเดียกับดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลูกปัดโบราณวัตถุที่มีความเป็นมาอันยาวนาน ลูกปัดที่ทำด้วยเปลือกหอย ดินเผา และดินสีต่างๆนั้น จะเห็นได้ว่าพบในทุกแห่งอารยธรรมและยังมี่ข้อสรุปว่าที่ใดเป็นแหล่งกำเนิด คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก แต่สำหรับลูกปัดแก้วนั้นเนื่องจากพบอยู่อยู่ทั่วไปทั้งในยุโรปแถบเยอรมัน อิตาลี บริเวณทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน ในเปอร์เซีย อียิปต์ เมโสโปเตเมีย อินเดีย ไทย ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ขึ้นไปถึงจีน ญี่ปุ่น และอลาสกา ได้มีนักวิชาการศึกษาค้นคว้ากันมานาน โดยพยายามหาดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดที่รู้จักผลิตแก้วขึ้นเป็นเครื่องประดับและเครื่องใช้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน ในบริเวณประเทศอียิปต์ และแถบเมโสโปเตเมียรู้จักผลิตแก้วมาแล้วตั้งแต่ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่ยังไม่กว้างขวางนักมาแพร่หลายจริงๆราว 1,000 ปีก่อนคริสตกาล
ลูกปัดจากแหล่งโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะภาคใต้ได้พบลูกปัดทั่วไปทุกแห่งที่เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ เช่น ควนพุนพิน ไชยา และท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่าศาลาและอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งที่ภาคใต้นี้จะพบลูกปัดที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่นดินเผา หินต่างๆ และแก้วสีต่างๆ มีรูปแบบมมากมาย อาจจะกล่าวได้ว่ามีมากกว่าที่อำเภออู่ทองจัดว่าเป็นแหล่งผลิตลูกปัดที่ใหญ่มาก แบบที่พบทางภาคใต้คือลูกปัดมีตา ลูกปัดรูปคล้ายทุ่นเบ็ดมีขั้วที่ปลายทั้งสองด้าน ลูกปัดรูปพระจันทร์เสี้ยว รูปคล้ายกระดุม และลูกปัดที่มีลวดลายสีต่างๆ ลูกปัดแฝด ลูกปัดเกลียว เป็นต้น
ลูกปัดทราวดี เขาศรีวิชัย (หัวเขา) สุราษฎร์ธานี
มรดกล่ำค่าที่เป็นมรดกตกทอดของคนในยุคเก่าที่ผสมทั้งศาตร์และศิลป์ได้อย่างสวยงามและหาของแท้ได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบันลูกปัดเส้นนี้ใช้เวลาในการสะสมและรวบรวมนับ10ปีด้วยความงามที่เป็นตัวของตัวเองเรียกได้ว่าลงตัวทั้งพุทธคุณและศิลปะตามสไตล์ที่เป็นหนึ่งเดียวด้วยสีสันที่สวยงามเรียงร้อยตามท้วงทำนองแบบคัดสรรแทบทุกเม็ดที่พอจำแนกแต่ละเม็ดมีอะไรบ้างลองมารู้จักกัน
1. เม็ดหัวทวาขนเม้น กว้าง15มมยาว32มม น้ำ ขาว นำตาล เทา
2. เม็ดลูกยอ 19*17มม 9ตา หายากสุดๆ ตรงข้ามเป็นเม็ดน้ำส้มกลม 18*16 มม รูปทรงและความสมบูรณ์ยังคงเดิม
3. เม็ดลูกปัดทรงสถูป สีน้ำเงิน ความหนา 11มม รัศมีรอบวงกลม 21มมสวยเด่น
4. ชวาขนเม่นลายสลับดำขาวดำยาว28มม หนา13 ตรงข้าม ก็เช่นกัน ด้วยขนาด ยาว23มม หนา12มม พบน้อยมาก
5. เม็ดน้ำเหลี่ยมเม็ดยอดนิยมในหัวเขา หนา9มม ยาว20มม
6. เม็ดน้ำส้ม 6 เหลี่ยม ยาว19มม หนา11มม ด้านตรงก็เช่นเดียวมีแถบขาวคาดกลาง ยาว18มม หนา 11 มม นับว่าขนาดใกล้เคียงและลงตัวกันมาก
7.ลูกปัดทรงกลมน้ำเงินครามหนา13มม กว้าง12มม เม็ดน้ำเงินทรงเหลี่ยม(ชมพูเหลียม)ที่ขนาดใกล้เคียงกัน
8.ทวาน้ำส้มทรงกลม ขนาด 13*13มม ตรงข้ามด้วยทวาน้ำส้มในขนาดที่ใกล้เคียงกัน
9.ชวากระดุมคาดลายยาว14มมหนา6มม คู่ตรงข้าม ยาว16มมหนา5มม หายากสุดๆ
10.เม็ดทวาวุ้นยาว18มมหนา9.5มม คู่ตรงข้ามข้าวต้มมัดสีม่วง ยาว17มมหนา10มม
11.ทวาวุ้นซีกยาว 8มม หนา 12มมคู่ตรงข้าม ยาว14มมหนา9มม
12.ลูกปัดหยดน้ำค้างทรงกระดุม กว้าง11.5มมหนา7มมคู่ตรงข้ามก็มีขนาดใกล้เคียงกันสวยงามมาก
13.เม้ดชมพู่เนื้อหยก กว้าง12มมหนา11มมคู่ตรงตรงข้ามแสลนเกรียวลายธงชาติเม็ดยอดหายากอีกหนึ่งประเภท ยาว9.5มม หนา10มม
14.เม็ดน้ำส้มทรงทุ่น กว้าง14มมหนา10มมคู่ตรงข้ามที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
15.ลูกปัดอำพันทองแฝด3 ยาว21มมหนา10มม คู่ตรงข้ามเม็ดก้านผักบุ้งสีเหลืองยอดแห่งความเชื่อในเรื่องเมตตามหานิยมยาว14มมหนา7มม
16.ลูกทวากระดุม2สีขาวดำ ยาว13.5มมหนา3มม คู่ตรงข้ามเช่นกันแต่มีลักษณะสีน้ำตาลขาวยาว13.5มมหนา4มม
17.ลูกปัดเพชรน้ำค้างกระดุมกว้าง10มมหนา5มมคู่ตรงข้ามเพชรน้ำค้างทรงทุ่นยาว13มมหนา8.5มม
18.ลูกปัดทวา3สี เทา ขาวดำ ยาว14มมหนา8.5มมคู่ตรงข้ามก็เช่นกันโดยมีขนาดที่ใกล้เคียงกัน
19.ลูกปัดทรงหัวใจยกขอบ ยาว11.5มม หนา6มมคู่ตรงข้ามเม็ดน้ำส้มกระดุมยาว12มม หนา5.5มม
20.ลูกปัดทวา3สี ขาวเทาดำ เนื้อวุ้นยาว13มมหนา8.5 คู่ตรงข้ามลูกปัดทวาวุ้นที่มีขนาดและน้ำใกล้เคียงกันยาว12.5หนา9มม
21.เม็ดก้านผักบุ้งสี้ขียวครามยาว13มมหนา5.5 คู่ตรงข้ามก้านผักบุ้งสีน้ำผึ้งยาว14มมหนา5.5มม
22.ลูกปัดทวาสีขาวดำยาว10มมหนา7มมคู่ตรงข้ามลูกปัดทวาสีขาวดำเทายาว13มมหนา7มม
23.ลูกปัดทวาทรงทุ่น2สีขาวน้ำผึ้งหนา6.5มมยาว10มม *ชุดหลัง* แสลนลายธงชาติของ(เขาศรีวิชัย)หัวเขาเอกลักษณืที่หายากขนาดโดยเฉลี่ยยาว7.5มมหนา5มม 14เม็รวมเม็ดก้านผักบุ้งแสลนยาว8มมหนา5มม
เม็ดทวาวุ้นคละสี เขียว แดง ส้ม วุ้น ขนาดโดยประมาณ ยาว 6.5 มม. หนา 5.5 มม จำนวน8เม็ดความยาวรอบเส้น36นิ้วนับเพาะเม็ดหลัดไม่รวมเม็ดคั่น และจำนวนเม็ดเม็ดหลักมี65เม็ดทุกเม็ดเป็นเม็ดที่คัดและสู้ราคาจากสถานที่ขุดได้เพื่อเรียบเรียงให้ได้ความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ทำได้ ด้วยความชอบสไตล์เพื่อชีวิตและพุทธศิลปในเอกลักษณ์ของอาณาจักรศรีวิชัย
สีของลูกปัดทวารวดีนั้น มีทั้งหมด 19 ชนิดแต่ละชนิดมีคุณสมบัติ แตกต่างกันไป ตามความเชื่อว่า มีอยู่ว่าหากผู้ใด ได้ครอบครองลูกปัดทวารวดีทั้ง 19 สีจะทำให้ผู้นั้นไม่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ลำบาก และแคล้วคลาดจากอันตราย ปกป้องให้พ้นจากเดรัจฉานวิชา ตลอดจนเขี้ยวงาอาวุธ ส่งเสริมบารมี เงินทองไหลมา เทมา โดยจะใช้เป็นเครื่องประดับสวมคอ และข้อมือ คุณสมบัติของสี อาจแตกต่างกันไปบ้าง แล้วแต่ท้องถิ่น
ทวารวดีแท้ ถือว่าดีที่สุด หายากที่สุด สีออกน้ำตาล เนื้อละเอียด คุณสมบัติใช้ป้องกัน อาวุธต่างๆ อาธิ ดาบแหลน หลาว ธนู หน้าไม้
ทวาลูกยอ มีลวดลายคล้ายลูกยอ มีคุณสมบัติ คือ ใช้ต้มกับลูกยอ เป็นยารักษาโรคได้
ทวาหัวดำ ท้ายดำ ตรงกลางขาว ใช้ป้องกันเช่นเดียวกับ
ทวารวดีแท้ ทวาหัวเทียน ทำให้มีไหวพริบ ปฎิภาน เฉลียวฉลาด
ทวาอำพันทอง อยู่ยงคงกะพัน ป้องกันโรคนิ่ว หมากัดไม่เข้าเงินทองไหลมาเทมา ป้องกันสามีมีชู้
น้ำเงินเนื้อกษัตริย์ มีอำนาจวาสนาสูงส่ง น้ำโชค สีเขียวหยก มักชักนำเงินทองสิ่งของเข้าบ้านของตนตลอดเวลา เป็นมหามงคลอุดมลาภ
เหลือง มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม คนรักใคร่ ไม่เกลียดชัง หรือเหลืองตองอ่อน เสน่ห์แรง คนรักใคร่ลุ่มหลง
เฟริม แบบฟันเฟือง มะยม ผู้ใดมีไว้กันผัวมีเมียใหม่ ชายมีชู้ และจะมีลาภในการเสี่ยงโชค
แสลน ป้องกันอุบัติเหตุป้องกันสามี มีชู้
หยกขาว ให้อายุมั่นขวัญยืน ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ ฟ้า มีโชคลาภ ร่ำรวย ดำ กันผีสาง กันขโมย ป้องกันภูตผีปีศาจ ป้องกันโรคระบาด อุบัติเหตุและไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา
เขียวหนุมาน(แก้วสารพัดนึก) นึกอะไร ได้ทั้งนั้น สีขาวใสน้ำแก้ว เปรียบประดุจเพชรน้ำหนึ่ง ผูใช้นั้นมีผิวพรรณวรรณะงามผ่องใส
สีอิฐมันปู อยู่ยงคงกระพันชาตรี เรื่องศาสตราวุธและเขี้ยวงา น้ำผึ้ง มีวาสนา มีความสุข มีชีวิตสดชื่น อยู่เสมอ
สีอิฐ ป้องกันเขี้ยวงา อสรพิษกัดต่อย
สีแดงเข้ม มีอำนาจดุจพญาราชสีห์ คนไม่กล้าทำร้าย สีม่วง คนเมตตาสงสาร นำทรัพย์สินมาให้ อุปถัมภ์ และคอยให้ความช่วยเหลือ
-----------------------------------
แหล่งโบราณคดีสมัยเริ่มแรกประวัติศาสตร์ พบลูกปัดที่ทำด้วยวัตถุดิบต่างๆตั้งแต่ กระดูกสัตว์ หิน- แร่ประกอบหิน ดินเผา แก้วน้ำเคลือบ แก้ว ทอง เหล็ก ตะกั่ว แหล่งที่ขุดพิได้แก่
1.แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ พบลูกปัดที่ทำจากวัตถุดิบที่เป็นเปลือกหอย แร่ ประกอบหินตระกูลควอตซ์ อำพัน แหล่งที่พบได้แก่
- ถ้ำเบื้องแบบ หมู่ที่ 3 บ้านเบื้องแบบ ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี
- ถ้ำปากอม หมูที่ 4 บ้านป่ากอม ต. เขาพัง อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี
- ถ้ำเขาขี้ชัน หมู่ที่ 3 บ้านคลองหิน ต.พรุไทย อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี
- ถ้ำแห้งบางเหียน หมู่ที่ 6 บ้านบางเหียน ต.ปลายพระยา อ.ปลายพระยา จ.กระบี่
- ถ้ำเขาหินตก บ้านหินตก ต.เสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
- ถ้ำเขาสามบาท หมู่ที่ 4 ต.นาตาล่วง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง
- ชุมชนโบราณเขาสามแก้ว หมู่ที่ 1 และ หมู่ที่ 3 บ้านบางลึก ต.บางลึก อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร
- ชุมชนโบราณเขาสามแก้ว หมู่ที่ 1 บ้านสามแก้ว ต.นาชะอัง อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร
- ชุมชนโบราณท่าชนะ(บ้านท่าม่วง) หมู่ที่ 7 บ้านท่าม่วง ต.วัง อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี
- ชุมชนโบราณไชยา (วัดเวียง) ต.ตลาดไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
- ชุมชนโบราณไชยา (แหลมโพธิ์) ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
- ชุมชนโบราณพุนพิน(เขาศรีวิชัย) หมู่ที่ 7 บ้านหัวเขา ต.เขาศรีวิชัย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
- ชุมชนโบราณพุนพิน (ควนพุนพิน) เขตสุขาภิบาลท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี
- ชุมชนโบราณตะกั่วป่า (เหมืองทอง) หมู่ที่ 3 บ้านทุ่งตึก ต.เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา
- แหล่งโบราณคดีวัดบ้านเตรียม วัดบ้านเตรียม ต.คุระ อ.คุระบุรี จ.พังงา
- ชุมชนโบราณบ้านคลองท่อม หมู่ที่ 2 บ้านควนลูกปัด ต.คลองท่อมใต้ อ.คลองท่อม จ.กระบี่
- ชุมชนโบราณบ้านท่าเรือ บ้านท่าเรือ บ้านพังสิงห์ บ้านเกตุกาย ต.ท่าเรือ อ.เมืองจ.นครศรีธรรมราช
- ชุมชนโบราณสทิงพระ หมู่ที่ 1 บ้านในไร่หรือบ้านพังเภา ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา
- ชุมชนโบราณสทิงพระ หมู่ที่ 5 บ้านจะทิ้งพระ ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา
- ชุมชนโบราณยะรัง บ้านประแว ต.วัด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
ความหมายตามความเชื่อของลูกปัดโบราณทวาราวดี-ศรีวิชัย
ลูกปัดโบราณนั้นโดยรวมๆแล้ว แยกได้ราว 20 สี ซึ่งถ้าผู้ใดได้มีไว้ครอบครองก็จะเพิ่มพูนบารมี จะไม่ตกทุกข์ได้ยาก จะแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง แต่ต้องประพฤติดี ยิ่งผู้ใดทำบุญอยู่เป็นนิจ ผู้นั้นก็จะได้พบแต่ความสุขความเจริญ จากเคราะห์ร้ายก็จะกลายเป็นดี ถ้าท่านทั้งหลายมีลูกปัดอยู่ในครอบครองไม่ว่าสีใดก็ตาม ให้สักการะด้วย ธูป เทียน ดอกไม้ โดยใส่บาตรและกรวดน้ำอุทิศให้แก่เจ้าของเดิม
"ลูกปัด"เป็นวัตถุหรือประดิษฐ์กรรมขนาดเล็กอย่างหนึ่ง ซึ่งทำจากวัตถุดิบที่เป็นอินทรียวัตถุต่างๆกัน เช่น ไม้ หิน แร่ กระดูก เขี้ยวสัตว์ เขาสัตว์ เปลือกหอย เมล็ดพืช ดินปั้น ดินเผา แก้วน้ำเคลือบ แก้วหลอม โลหะ เช่น ทอง เงิน ตะกั่ว เหล็ก พลาสติก ตลอดจนสารสังเคราะห์ ฯลฯ โดยนำมาขัดหรือฝน ปั้น หรือหล่อหลอม พิมพ์ รูปทรงและแต่งแต้มให้เป็นรูปลักษณะต่างๆ ต้องมีหรือทำรู
เพื่อร้อยด้ายหรือเชือกหรือเส้นสายใดๆสำหรับห้อยแขวน ประดับตกแต่งตามร่างกายหรือสถานที่ การประดับลูกปัดด้วยวัสดุ และกรรมวิธีตลอดจนลักษณะรูปร่างต่างๆกันไปย่อมสอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอยและเป็นไปตามแนวความเชื่อ ประเพณีนิยม หรือค่านิยมของยุคใดสมัยใดในแต่ละชุมชน บางคนถือเป็นเรื่องรางของขลัง และเป็นเครื่องประดับที่เป็นสิริมงคลมีพลังอำนาจต่างๆ ก็คือการปัดสิ่งร้ายออกไปและปัดสิ่งที่ดีเข้ามา
ฉะนั้นในการจำแนกลูกปัดจึงมีหลายรูปแบบต่างๆหลายสี และมีความหมายแตกต่างกันไปดังนี้
1.ลายนกยุง จะมีหลายสีเรียกอีกอย่างว่า สีนานาชาติจะทำการสิ่งใดจะสำเร็จผลทุกอย่าง
2.ทวาหัวเทียน ที่หัวท้ายจะมีสีดำ ขาว น้ำตาล อยู่ยงคงกระพัน มีสติปัญญาดี
3.ลูกยอน้ำทิพย์ มีหลายสี มีตารอบด้าน รู้เหตุการณ์ข้างหน้า ค้าขายดี
4.อำพันทอง เงิน การงาน การค้า ทำให้เงินใหลมาไม่ขาดสาย
5.หยกเขียว อยู่ร่มเย็นเป็นสุข สุขกายและใจ เป็นมหามงคลเพิ่มพูน
6.หยกเหลือง เมตตามหานิยม ค้าขายดี
7.หยกขาว สีสะอาด ทำให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไข้ ดูไม่แก่ สดใส อายุยืน
8.ฟ้าแก่ ฟ้าอ่อน ฟ้าสวิง ร่ำรวยเงินทองพร้อมญาติมิตรการงานและการค้าดี
9.เหลืองตองอ่อน เสน่ห์แรงคนรักใคร่ คนรักซื่อตรง
10.น้ำเงินเนื้อกษัตริย์ สีไพริน มีอำนาจวาสนา
11.ดำทึบ เสริมโชคลาภ กันภัย มนต์ดำ ผีสาง และผู้ที่คิดร้ายต่อเรา
12.ส้ม หรือส้มเงินแสนคือเรืองแสง ส่องสว่าง นึกคิดสิ่งใดสมความปรารถนาเป็นแสนเป็นล้าน
13.ส้มมันปู มีเงินทองคงกระพัน กันพิษสัตว์ร้าย
14.สีแดงอิฐ แคล้วคลาดอยู่ยงคงกระพันป้องกันภัยอันตรายต่างๆ
15.แดง มีโชคลาภ มีอำนาจบารมี บริวารเกรง
16.ม่วง คนเมมตา มหานิยม คนรักใคร่ นำทรัพย์สินมาให้มีคนอุปถัมภ์ตลอด ช่วยเสริมบารมี
17.สีน้ำผึ้ง ให้มีวาสนา สุขกายใจ สดชื่น มีเสน่ห์งามตา
18.แสลน ป้องกันภัย อุบัติเหตุ มีเสน่ห์ บริวารรักใคร่ซื่อสัตย์
19.เขี้ยวหนุมาน แก้วสารพัดนึก นึกคิดสิ่งใดได้ดั่งใจสมความปราถรถนาทุกประการ
20.อิฐใส้ดำ , อิฐหน้าดำ ป้องกันปืน ดาบ หลาว แหลน ธนู หน้าไม้และอาวุธต่างๆ อยู่ยงคงกะพัน
สร้อยลูกปัดทราวาดีเส้นรวมลูกปัดหายากต่างๆไว้เป็นคู่ด้วยความใกล้เคียงและสีสันสวยงาม ด้วยองค์ประกอบดังนี้
1.คู่ชมพู่ฟ้า
2.ทวาส้มเหลี่ยม
3.ก้านผักบุ้งเขียวฟ้าขนาดใกล้เคียงกัน
4.ทวาวุ้นน้ำตาล-เทา
5.อิบส้ม-อิฐแดง
6.กระดุมฟ้า-น้ำเงินกบัตริย์
7.แสลน
8.อิฐส้ม-อิฐแดงราชสีห์
9.น้ำค้าง-อำพัน
10.น้ำส้มกลมคาร์นิเลี่ยนหัวเขา
11.แสลนขาวดำ
12.น้ำผึ้งกานผักบุ้ง
สีของลูกปัดโบราณภาคใต้
ลูกปัดแก้ว ที่ใช้ทำลูกปัดในภาคใต้ มลูกปัดแก้วหลากหลายสีมีทั้งสีอ่อนและเข้ม สีทึบแสงและโปร่งแสง เช่น สีส้ม,สีแดง,สีขาวขุ่น,สีน้ำตาล,สีอิฐ,สีดำ,สีเหลือง,สีฟ้า,สีน้ำเงิน,สีเขียว,สีม่วง,สีน้ำเงินม่วง และไม่มีสี ลูกปัดแก้วสีที่พบในภาคใต้มีหลากหลายขนาดแต่ที่พบมากที่สุดก็ขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตรเพราะกรรมวิธีในการผลิตที่รวดเร็วและง่ายนั้นเอง
นอกจากนี้แล้วยังมีลูกปัดแก้วที่มีตา,ลูกปัดแก้วหน้าคล้ายคนด้วย สีของลูกปัดนั้นมาจากส่วนผสมของพวก ออกไซด์ ของโลหะต่างๆกับแก้ว ซึ่งจะได้สีต่างๆกัน เช่นสีเหลือง(หล็ก),สีเขียว(โครเมี่ยม),สีน้ำเงิน,สีฟ้า(โคบอลต์),สีม่วง(นิเกิล),สีแดง(ทองแดง),สีขาวขุ่น(ดีบุก),สีดำ(ขี้เหล็ก) เป็นต้น
ลูกปัดดิน ส่วนมากมีสีดินธรรมชาติ เช่น ดินเผาสีเทาเกือบดำ สีน้ำตาล อยู่ที่อุณหภูมิในการเผาเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งพบไม่มากนัก
ลูกปัดหิน-แร่ประกอบหิน มีสีที่แตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับชนิดของหินที่นำมาใช้ทำลูกปัด เช่น
-ลูกปัดที่ทำมาจากหินคาร์เนเลี่ยน(Carnelian) มีสีส้มหรือออกแดงเข้ม
-ลูกปัดที่ทำมาจากหินอะเมทิสต์(Amethyst) มีสีม่วง
-ลูกปัดที่ทำมาจากหินเขี้ยวหนุมาน(Rock crystal) มีสีขาวใสคล้ายแก้ว
-ลูกปัดทีทำมาจากหินซาร์ด(Sard) มีสีแดงสดใสคล้ายหินคาร์เนเลี่ยนมีลายทางแนวเดียวกับลูกปัด
-ลูกปัดที่ทำมาจากหินโมรา(Agate) มีสีขาว-ดำ และมีลายในเนื้อ
-ลูกปัดที่ทำมาจากนิล(Bery) มีสีดำ
-ลูกปัดที่ทำมาจากหินโอปอล(Opal) มีสีขาวขุ่นมันวาว
-ลูกปัดที่ทำมาจาดหินโอนิกซ์ (Onyx) คือควอตซ์ที่มีลายเป็นทางแนวเดียวกับลูกปัด
-ลูกปัดที่ทำมาจากหยก. เพชร มีเขียว ทั้งอ่อนและเข้ม
-ลูกปัดที่ทำมาจากบลูควอตซ์ มีสีฟ้าใสๆ
-ลูกปัดที่ทำมาจากบุศราคำ มีสีเหลือง
-ลูกปัดที่ทำมาจากโกเมน มีสีม่วงเข้มออกแดงดำ(แดงเข้ม)
-ลูกปัดหิน-แร่ประกอบหิน
ที่มีลักษณะการตกแต่งด้วยเส้นสี(Etched beads)ทั้งลายเส้น วงกลม และลายสวัสดิกะ ที่พบในภาคใต้ ทำโดยการนำเอาด่างโปแตช ตะกั่วขาว และน้ำยางจากไม้พุ่มกิรารมาผสมกันลัวใช้เหล็กแหลมจุ่มน้ำยา เอามาเขียนลวดลายลงบนผิวหินที่ขุดร่องไว้ แล้วค่อยนำไปเผาไฟ เมื่อลูกปัดเย็นลงก็จะมีลวดลายที่เขียนไว้ติดแน่นล้างไม่ออก ลูกปัดแบบนี้ส่วนมากเป็นสินค้านำเข้ามาจากประเทศอินเดีย ซึ่งมีการขุดพบได้จากแหล่งชุมชนโบราณท่าชนะ ชุมชนโบราณพุนพิน ชุมชนโบราณเขาสามแก้ว ชุมชนโบราณคลองท่อม เป็นต้น
------------
ลูกปัดที่ขุดพบได้ใน จ.สุราษฎร์ธานีจะมีความสัมพันธ์กับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
- ลูกปัดโบราณที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณพุนพิน(เขาศรีวิชัย) จ.สุราษฎร์ธานี ลักษณะของลูกปัดส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับลูกปัดโบราณที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณคลองท่อม จ.กระบี่
- ลูกปัดโบราณที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณแหลมโพธิ์(ไชยา) จ.สุราษฎร์ธานี ลักษณะของลูกปัดส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับลูกปัดโบราณที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณตะกั่วป่า จ.พังงา
- ลูกปัดโบราณที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ลักษณะของลูกปัดส่วนใหญ่จะคล้ายๆกับลูกปัดที่ขุดพบที่ชุมชนโบราณเข่าสามแก้ว จ.ชุมพร จึงสัญนิฐานว่าได้มีการติดต่อค้าขาย-แลกเปลี่ยนสินค้ากันมานานตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งลูกปัดที่ขุดพบดูได้ว่าเก่าโบราณถึงยุคแต่อาจจะบอกที่มาได้ยากเหมือนกันถ้ามาวางรวมๆคละๆกัน
แหล่งโบราณทั้ง 3 นี้ ได้มีการกำหนดอายุด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการนำตัวอย่างถ่านกระดูกสัตว์และมนุษย์ทดสอบด้วยวิธีเรดิโอคาร์บอน ผลปรากฎว่ามีอายุประมาณ 4,700-6,500ปีมาแล้ว และมีวัฒนธรรมอยู่ในยุคหินกลางคือเป็นคนที่ใช้ถ้ำ การพบเปลือกหอยทะเลในถ้ำ แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกับชุมชนที่อยู่ใกล้ทะเลหรือเดินทางไปมาได้ระหว่างฝั่งทะเลตะวันตก และทะเลตะวันออก ซึ่งเป็นปากน้ำลำคลองหลายสายที่ไหลจาก
ป่าเขาตอนกลางลงสู่ทะเล เส้นทางดังกล่าวได้แก่
1. เส้นทางสายตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน เป็นเส้นทางที่อาศัยการล่องเรือมาตามลำน้ำตะกั่วป่า อ.ตะกั่วป่าจ.พังงา ทางฝั่งทะเลตะวันตก แล้วเดินทางบกข้ามเขาสก มาลงคลองสก อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งไหลลงสู่ แม่น้ำพุมดวง อ.คีรีรัฐนิคม ล่องเรือมาบรรจบแม่น้ำตาปีที่ อ.พุนพิน แล้วลงสู่ทะเลอ่าวบ้านดอน
2. เส้นทางสายปากคลองลาว-อ่าวบ้านดอน เส้นทางนี้เรียกว่าเส้นทางสายปากพนม โดยเริ่มต้นจาก
ปากคลองลาว อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ทางฝั่งทะเลตะวันตกแล้วเดินทางบกผ่านเขา ต่อเข้ามายังบ้านปากพนมอันเป็นจุดรวมของคลองสกและคลองพนม เดินทางต่อไปทางแม่น้ำพุมดวง โดยผ่าน บ้านพังกา บ้านยางยวน และ บ้านตาขุน อ.บ้านตาขุน ออกสู่ทะเลที่อ่าวบ้านดอน
3. เส้นทางสายคลองปะกาไส
ลักษณะและการใช้สอยลูกปัด
1. ใช้แขวนที่คอ
2. ใช้ผูกข้อมือ
3. ใช้ผูกรอบสะโพก
4. ใช้เป็นต่างหู
5. ใช้ประดับศีรษะร้อยกับเส้นผม
6. ใช้ผูกข้อเท้า
7. ใช้ประดับขนตา เป็นต้น
บทบาทและหน้าที่ของลูกปัด
1. ใช้เป็นสื่อที่บอกถึงสถานภาพทางสังคมของผู้ใส่
2. ใช้เป็นเครื่องรางของขลังที่มีพลังอำนาจให้กับผู้สวมใส่
3. ใช้ในการรักษาโรคและให้โชคลาภ
4. ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายแทนเงินตรา
5. ใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างชนเผ่าต่างกลุ่ม
6. ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การฝังศพ การสวดมนต์ เป็นต้น
ชื่อต่างต่างของลูกปัดศรีวิชัย
ข้าวต้มมัดสีม่วง, น้ำค้างเหลี่ยมน้ำใสน้ำหนึ่ง, น้ำค้างกลม, ม้าลายทรงกลองขาว + ดำ, ชวาส้ม 6 เหลี่ยมสีเลือดหมู, ม้าลายทรงกลองขาว + ดำ, ข้าวต้มมัดสีม่วงอ่อนลายวุ้น, น้ำส้มกลมลายหินคาดขาว, น้ำส้มแบนสี่เหลี่ยม, น้ำผึ้งกลมลายสีม่วงอ่อน (นกยูง), ฟ้าเหลี่ยมเม็ดยาว1นิ้วเม็ดสวย, ชวาส้มกลมมีเส้นลาย, อำพันหยกแฝดสอง(สีเหลือง), น้ำค้างไพรกลม, มะยมดำแฝดสอง, ขนเม่นทรงกลวย, อำพันทองแฝดสาม(เม็ดใหญ่), ขนเม่นหลอดยาวดำ, อำพันฟ้า(แฝดสาม), ขนเม่นกลมสีชา(มีลาย), ขนเม่นหลอดยาวสองนิ้วสีขาว+ชา, ขนเม่นทรงกรวยลายขาว+ดำ, ขนเม่นเดือยไก่ยาวสองนิ้ว, อำพันทอง(แฝดสาม)เม็ดเล็ก, ขนเม่นลายหลอดขาว, ขนเม่นทรงกรวยลายขาว+ดำ, ขนเม่นชวาวุ้นหลอดลายเส้นขาว, ขนเม่นหลอดเล็กขาว+ดำ, เม็ดเหลี่ยมมรกตเขียวมข้าวต้มมัดสีม่วง, น้ำค้างหกเหลี่ยมน้ำใสน้ำหนึ่ง, น้ำค้างกลม, ม้าลายขาว+ดำ, ชวาส้ม 6 เหลี่ยม, ชวาวุ้นลายขาว (ขนเม่น), ข้าวต้มมัดสีน้ำเงิน, น้ำส้มกลมลายหินขาว+ส้มสวย, เม็ดแตงโม+หินน้ำส้ม+น้ำตาล, น้ำผึ้งกลมลายสีม่วงอ่อน(นกยูง), น้ำค้างหกเหลี่ยมยาว 1 นิ้ว, น้ำส้มกลมสีเลือดนก, มะยมแฝดสองสีฟ้า, น้ำค้างไพร(เขียวหนุมานฟ้าแล่บ), มะยมดำ 1 คู่, ขนเม่นทรงกรวย, อำพันทองแฝดสาม, ขนเม่นหลอดขาว+ดำ, อำพันฟ้าแฝดสอง 2 คู่, เม็ดกลมวุ้น, ขนเม่นหลอดยาว 2 นิ้ว, เม็ดลายนกยูงน้ำตาล(เม็ดทะเล), ขนเม่นหลอดยาวชะวาวุ้น, อำพันทองแฝดสาม(เล็ก), ขนเม่นหลอดบ้องขาว, ขนเม่นทรงกรวยลายขาว+ดำ, เม็ดน้ำเงินลายนกยูง, ข้าวต้มมัดสีน้ำเงินทรงแจกัน, ขนเม่นลายขาว+ดำ, ขนเม่นทรงกรวยชวาวุ้นมสะแลนเม็ดลายแดง+ขาว, เม็ดกลมน้ำส้มยันต์, ตั๊กแตนสีเขียว อ.ไชยา, น้ำค้างกระดุม, เม็ดหลอดกุมารทองเหลือง+เขียว, เม็ดม้าลายขาว+ดำ อ.ไชยา, สะแลนเม็ดลายแดง+ขาว, เม็ดกลมสีเลือดนก, ตั๊กแตนสีเขียว อ.ไชยา, เม็ดจานบินสีน้ำเงิน, น้ำส้มแปดเหลี่ยม, สะแลนลาย หัวเขาศรีวิชัย, ม้าลาย อ.ไชยา
คนสมัยโบราณนิยมลูกปัดซึ่งทำจากหินสีต่างๆ ต่อมาจะเป็นลูกปัดที่ทำจากแก้ว ได้นำมาเจาะรูเพื่อร้อยเป็นเครื่องประดับ สวมคอและข้อมือ ไว้ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ
การบูชาลูกปัด
ธูป 5 ดอก พวงมาลัยมะลิสด 1 พวง น้ำ 1 แก้ว ไหว้ก่อนนอน แล้วอธิษฐานตามความปราถนา
การทำบุญตักบาตร ข้าวสวย ไข่ต้ม 2 ใบ กล้วยน้ำหว้าหรือกล้วยหอม 9 ผล ตักบาตรทุกครั้งที่ประสบความสำเร็จ และ กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญถึงพราหมณ์และเจ้าของเดิมของลูกปัด
ขอบคุณที่มา : https://bit.ly/2nXrKvk
-----------------------
ความหมายของแต่ละสี
ในหมู่คนที่สนใจลูกปัดโบราณ ว่า สีของลูกปัดทวารวดีนั้น มีทั้งหมด 19 สี แต่ละสีมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ตามความเชื่อ มีอยู่ว่าหากผู้ใด ได้ครอบครองลูกปัดทวารวดีทั้ง 19 สี จะทำให้ผู้นั้นไม่ตกทุกข์ได้ยากไม่ลำบาก และแคล้วคลาดจากอันตรายปกป้องให้พ้นจากเดรัจฉานวิชา ตลอดจนเขี้ยวงาอาวุธ ส่งเสริมบารมี เงินทองไหลมา เทมาโดยจะใช้เป็นเครื่องประดับสวมคอ และข้อมือคุณสมบัติของสี อาจแตกต่างกันไปบ้าง แล้วแต่ท้องถิ่น เราลองมาดูคุณสมบัติของลูกปัดทวารวดี ทั้ง 19 สี
1 ทวารวดีแท้ ถือว่าดีที่สุด หายากที่สุด สีออกน้ำตาล เนื้อละเอียด คุณสมบัติใช้ป้องกันอาวุธต่างๆ
2 ทวาลูกยอ มีลวดลายคล้ายลูกยอ มีคุณสมบัติ คือ ใช้ต้มกับลูกยอ เป็นยารักษาโรคได้
3 ทวาหัวดำ ท้ายดำ ตรงกลางขาว ใช้ป้องกันเช่นเดียวกับ ทวารวดีแท้
4 ทวาหัวเทียน หัวดำ จะทำให้เกิดไหวพริบ ปฏิพาน เฉลียวฉลาด หลักแหลม
5 ทวาอำพันทอง อยู่ยงคงกระพัน กันโรคนิ่ว หมากันไม่เข้า เงินทองไหลมาเทมา ป้องกันสามีมีชู้
6 น้ำเงินเนื้อกษัตริย์ มีอำนาจวาสนา ส่งเสริมวาสนาให้สูงส่ง นำโชค
7 หยก ป้องกันอุบัติเหตุ กันผี เป็นมหามงคลอันอุดม
8 เหลือง มีเสน่ห์ เมตตามหานิยม คนรักใคร่ ไม่เกลียดชัง
9 เหลืองสวาทหรือตองอ่อน เสน่ห์แรง คนรักใคร่ลุ่มหลง
10 แสลน ป้องกันอุบัติเหตุ ป้องกันสามีมีชู้
11หยกขาว ให้อายุมั่นขวัญยืน ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้
12 ฟ้า มีโชคลาภ ร่ำรวย
13 ดำ กันผีสาง กันขโมย นำโชคมาสู่
14 เขี้ยวหนุมาน(แก้วสารพัดนึก) นึกอะไร ได้ทั้งนั้น
15 ส้มมันปู อยู่ยงคงกระพัน ร่ำรวย ไม่อดอยาก ดูดพิษสัตว์ได้
16 น้ำผึ้ง มีวาสนา มีความสุข มีชีวิตสดชื่น อยู่เสมอ
17 สีอิฐ ป้องกันเขี้ยวงา อสรพิษกัดต่อย
18 สีแดงเข้ม มีอำนาจดุจพญาราชสีห์ คนไม่กล้าทำร้าย
19 สีม่วง คนเมตตาสงสาร นำทรัพย์สินมาให้ อุปถัมภ์ และคอยให้ความช่วยเหลือ